วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม 2024 เวลา 20 : 11 น.
Masjid News
You are here: Home >> บทความศาสนา >> อัลกรุอ่าน : รู้จักอัลกุรอาน
อัลกรุอ่าน : รู้จักอัลกุรอาน

อัลกรุอ่าน : รู้จักอัลกุรอาน

 

พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานทะยอยประทานมาให้แก่ท่านนบีมุฮัมมัด  นับตั้งแต่ท่านได้รับวะหฺยุ (วิวรณ์) ครั้งแรก ขณะที่ท่านอายุ 40 ปี จนถึงอายุ 63 ปี รวมเวลาของการประทานอัลกุรอานทั้งหมด 23 ปี

ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต (วะฟาต) ท่านได้อ่านอัลกุรอานทั้งหมดต่อหน้าญิบรีลในเดือนรอมฎอนสุดท้ายของชีวิตท่าน 2 ครั้ง ซึ่งเดิมแล้วท่านจะอ่านต่อหน้าญิบรีลทุกๆปีในเดือนรอมฎอน 1 ครั้ง และการอ่านครั้งสุดท้ายนี้ท่านได้อ่านอัลกุรอานเรียงตามอายะฮฺเหมือนดังรูปเล่มอัลกุรอานที่เราได้อ่านกันทุกวันนี้ นอกจากนี้ญิบรีลยังได้สอนการอ่านอัลกุรอานทั้ง 7 สำเนียงอีกด้วย

                เพราะฉะนั้นอายะฮฺแต่ละอายะฮฺจึงได้รับการตรวจสอบจากท่านนบียฺเองโดยตรง บรรดาเศาะฮาบะฮฺจำนวนหลายร้อยคนที่จดจำอัลกุรอานทั้งเล่ม อย่างไรก็ดีอัลกุรอานยังไม่มีการจัดพิมพ์ให้อยู่ในเล่มเดียวเหมือนปัจจุบัน เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีกระดาษและระบบการพิมพ์ บรรดาเศาะฮาบะฮฺแต่ละท่านก็มีการรวบร่วมอัลกุรอานกันเป็นการส่วนตัว ซึ่งแน่นอนว่ามีการจัดลำดับก่อนหลังที่ไม่ตรงกัน

ภายหลังท่านนบีได้จากไปท่านอุมัรได้สนับสนุนให้ท่านอบูบักร (632-634) คอลีฟะฮฺแห่งอิสลาม รวบรวมอัลกุรอานให้อยู่ในเล่มเดียวกันอย่างเป็นสากล ให้เป็นไปตามลำดับที่ท่านนบีได้อ่านให้ญิบรีลก่อนจากโลกนี้ไป เนื่องจากว่าได้มีเศาะฮาบะฮฺที่จำอัลกุรอานทั้งเล่มเสียชีวิตไปในสงครามยะมามะฮฺหลายท่าน ท่านอบูบักรได้มอบงานนี้ให้กับซัยดฺ บิน ษาบิต เศาะฮาบะฮฺที่เชี่ยวชาญอัลกุรอาน ทำการรวบรวมอัลกุรอานตามที่ท่านนบีได้อ่านเป็นครั้งสุดท้ายกับญิบรีล อัลกุรอานฉบับนี้ได้รับการเก็บรักษาไว้ที่บ้านของฮับเซาะฮฺ บุตรสาวของท่านอุมัร

ในสมัยของท่านเคาะลีฟะฮฺคนที่สามแห่งอิสลามคือท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน รัฐอิสลามได้ขยายตัวออกไปกว้างไกล ท่านจึงต้องการที่จะทำการคัดลอกต้นฉบับของอัลกุรอานส่งไปตามหัวเมืองต่างๆ เพื่อการเผยแผ่อัลกุรอานที่เป็นระบบ มีการจัดเรียงลำดับซูเราะฮฺอย่างถูกต้อง รวมไปถึงการออกเสียงที่สอดคล้องกันทั้งรัฐ ท่านได้มอบงานนี้ให้ซัยดฺ บิน ษาบิต และเศาะฮาบะฮฺกลุ่มหนึ่งทำการคัดสำเนาจากอัลกุรอานของท่านหญิงฮับเซาะฮฺส่งออกไปทั่วโลกมุสลิม ต้นฉบับชุดนี้บางเล่มยังคงมีอยู่ในโลกมุสลิม

เมื่อเราทราบประวัติความเป็นมาของอัลกุรอานโดยย่อ เราก็พอจะเห็นเป็นเค้าโครงว่าอัลกุรอานได้รับการบันทึกเป็นเล่มอย่างเคร่งครัด แต่อย่างไรก็ตามวิธีการเด่นที่รักษาอัลกุรอานไว้ได้อย่างไม่มีใครเถียงนั่นก็คือ “การท่องจำ” ที่ดำเนินผ่านศตวรรษแล้วศตวรรตเล่า บุคคลแรกที่จำอัลกุรอานทั้งเล่มก็คือ ท่านนบีมุฮัมมัด  ซึ่งท่านได้รับอัลกุรอานทะยอยลงมา 22.5 ปี และคนรุ่นแรกที่จดจำต่อจากท่านก็คือบรรดาเศาะฮาบะฮฺจำนวนหลายร้อยคน จากนั้นก็ถ่ายทอดสู่คนรุ่นต่อไป จนถึงทุกวันนี้ ชาวมุสลิมแทบทุกคนจะจำอัลกุรอานได้บางส่วน และมีบางคนสามารถจดจำได้ตลอดทั้งเล่ม ฉะนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่าวิธีการจดจำอัลกุรอานแบบท่องจำ กลายเป็นวีธีการหลักในการรักษาอัลกุรอานเอาไว้ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา

ความมหัศจรรย์แห่งการท้าทาย อัลกุรอานเป็นอายะฮฺที่ถูกประทานมาจากอัลลอฮฺ ชาวมุสลิมเองได้พบหลักฐานที่นำมาพิสูจน์เรื่องนี้มากมาย ซึ่งเป็นที่ภูมิใจแก่ชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ในทางภาษาศาสตร์ ภาษาที่อัลกุรอานใช้นั้นสั้นแต่มีความหมายที่ชัดเจน การนำคำที่ง่ายๆแต่งดงามมาใช้สื่อความ ลีลาที่เร่งเร้าและแทงทะลุเข้าสู่จิตใจของมนุษย์เป็นรูปแบบพิเศษในการใช้ภาษา การเริ่มต้นการลงท้าย การวางตำแหน่งของคำ เป็นรูปแบบที่งดงามไร้ที่ติ นี่เป็นสิ่งที่ประจักษ์ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญภาษาอาหรับ

และเมื่ออัลกุรอานได้บันทึกเรื่องใดเรื่องนั้นเป็นความเป็นจริงเสมอ ซึ่งถูกพิสูจน์มาแล้วทั้งสิ่งที่ผ่านมาและสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง เช่น และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาเหล่านั้นไม่เห็นดอกหรือว่า แท้จริงชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นแต่ก่อนนี้รวมติดเป็นอันเดียวกัน แล้วเราได้แยกมันทั้งสองออกจากกัน และเราได้ทำให้ทุกสิ่งมีชีวิตมาจากน้ำ ดังนั้นพวกเขาจะยังไม่ศรัทธาอีกหรืออัล อัมบียาอฺ 21.30)
โอ้ชุมนุมแห่งญินและมนุษย์ทั้งหลาย เอ๋ย! หากพวกเจ้ามีความสามารถที่จะผ่านไปให้พ้นขอบฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนี้ได้ ก็จงผ่านไปให้พ้นเถิด แต่ว่าพวกเจ้าไม่สามารถที่จะผ่านไปให้พ้นได้เว้นแต่ด้วยพลัง (พระบัญชาและพระประสงค์ของอัลลอฮฺ) (อัร เราะมาน 55.33)
ที่ต้องสังเกตเป็นพิเศษก็คือ นบีมุฮัมมัดนั้นไม่เคยศึกษาเล่าเรียน หรือผ่านสถาบันใดๆมาเลย เป็นผู้นำคัมภีร์เล่มนี้มาประกาศ จึงไม่สามารถสันนิษฐานว่าท่านเป็นคนประพันธ์สิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้เองที่อัลกุรอานเป็นสิ่งหลักที่ใช้ยืนยันว่าท่านนบีมุฮัมมัดเป็นผู้นำสาส์นมาจากผู้เป็นเจ้า และหากปรากฏว่าพวกเจ้าอยู่ในความแคลงใจใด ๆ จากสิ่งที่เราได้ลงมาแก่บ่าวของเราแล้ว ก็จงนำมาสักซูเราะฮฺหนึ่งเยี่ยงสิ่งนั้น และจงเชิญชวนผู้ที่อยู่ในหมู่พวกเจ้าอื่นนอกจากอัลลอฮฺหากพวกเจ้าเป็นผู้พูดจริง (อัล บะเกาะเราะฮฺ 2.23)
หรือพวกเขากล่าว่า “เขา (มุฮัมมัด) เป็นผู้ปั้นแต่งขึ้น” จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “พวกท่านจงนำกลับมาสักบทหนึ่งเยี่ยงนั้น และจงเรียกร้องผู้ที่พวกท่านสามารถนำมาได้ นอกจากอัลลอฮ์ หากพวกท่านเป็นผู้สัจจริง” (ยุนุส 10.38)

หรือพวกเขากล่าวว่า “เขา (มุฮัมมัด) ได้ปลอมแปลงอัลกุรอานขึ้นมา” (มุฮัมมัด) จงกล่าวเถิด “ดังนั้น พวกท่านจงนำมาสักสิบซูเราะฮ์ที่ถูกปลอมแปลงขึ้นให้ได้อย่างอัลกรุอาน และพวกท่านจงเรียกผู้ที่มีความสามารถในหมู่พวกท่านอื่นจากอัลลอฮ์ (ให้มาช่วย) ถ้าพวกท่านเป็นพวกสัตย์จริง (ฮูด 11.13)

จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด แน่นอนหากมนุษย์และญินรวมกันที่จะนำมาเช่นอัลกุรอานนี้ พวกเขาไม่อาจจะนำมาเช่นนั้นได้ และแม้ว่าบางคนในหมู่พวกเขาเป็นผู้ช่วยเหลือแก่อีกบางคนก็ตาม (อัล อิสรออฺ 17.88)

พวกเขาไม่พิจารณาดูอัลกุรอานบ้างหรือ ? และหากว่า อัลกุรอานมาจากผู้ที่ไม่ใช่อัลลอฮฺแล้วแน่นอนพวกเขาก็จะพบว่าในนั้นมีความขัดแย้งกันมากมาย (อัล นิสาอฺ 4.82)

แท้จริงเราได้ให้ข้อตักเตือน (อัลกุรอาน) ลงมา และแท้จริงเราเป็นผู้รักษามันอย่างแน่นอน (อัล อิจญฺ 15.9)

หากพวกเขาไม่ตอบสนองการเรียกร้องของพวกท่านก็จงรู้เถิดว่า แท้จริงอัลกรุอานถูกประทานลงมาด้วยวะฮีย์ของอัลลอฮ์ และนั่นคือไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ แล้วพวกเจ้า (มุชริกีน) ยังมินอบน้อมอีกหรือ?” (ฮูด 11.13-14)
คัมภีร์เปลี่ยนโลก แม้คัมภีร์อัลกุรอานจะเป็น “สื่อ” ที่สำคัญที่สุดในการพิสูจน์ความแท้จริงของอิสลามว่าเป็นศาสนาที่ถูกประทานมาจากผู้เป็นเจ้า แต่อย่างไรก็ตาม คัมภีร์นี้ไม่ได้มาเพียงแค่ให้คนอ่านตีความไปวันๆหนึ่ง แต่มันเพื่อนำมนุษยชาติไปสู่แนวทางที่ถูกต้อง

และคัมภีร์อันชัดแจ้งนั้นได้มายังพวกเจ้าแล้ว ด้วยคัมภีร์นั้นแหละ อัลลอฮ์จะทรงแนะนำผู้ที่ปฏิบัติตามความพึงพระทัยของพระองค์ ซึ่งบรรดาทางแห่งความปลอดภัย และจะทรงให้พวกเขาออกจากความมืดไปสู่แสงสว่างด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ และจะทรงแนะนำพวกเขาสู่ทางอันเที่ยงตรงอัล มาอิดะฮฺ 5.15-16)

ท่านเราะซูลุลลอฮฺ  ได้กล่าวว่า อัลลอฮฺทรงยกประชาชาติต่างๆเพราะคัมภีร์เล่มนี้ และได้ทรงทำให้ชาติอื่นๆอีกตกต่ำก็เพราะคำภีร์เล่านี้ (อัด ดะเราะมียฺ หมายเลข 3231)

บทความโดย: ศูนย์บริการวิชาการอิสลาม
ที่มา : www.muslimthai.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*