วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2024 เวลา 14 : 04 น.
Masjid News
You are here: Home >> บทความศาสนา >> ซะกาต >> ซะกาต : ความหมาย ความสำคัญและหลักการ
ซะกาต : ความหมาย ความสำคัญและหลักการ

ซะกาต : ความหมาย ความสำคัญและหลักการ

ซะกาต : ความหมาย ความสำคัญและหลักการ

               ในฐานะที่เป็นคนไทย ขณะที่มีงานทำและมีรายได้เป็นเงินเดือนประจำในทุกสิ้นเดือนที่บริษัทจ่ายเงินเดือนให้ ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนหนึ่งให้แก่รัฐตามกฎระเบียบที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ หากใครหลีกเลี่ยงภาษีก็ถือว่าผิดกฏหมายและหากถูกจับได้ก็จะต้องถูกลงโทษตามที่กฏหมายระบุไว้

ทำไมต้องจ่ายภาษี ?

คำตอบก็คือ มันเป็นหน้าที่ของพลเมืองไทยทุกคนที่จะต้องช่วยกันทำนุบำรุงและพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง ซึ่งในที่สุดแล้วก็จะส่งผลดีกลับมายังผู้จ่ายนั้นเอง ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำระปา การชลประทาน โรงเรียน  โรงพยาบาล เงินเดือนข้าราชการ ทหาร ตำรจ และอื่นๆเหล่านี้ล้วนแต่มาจากภาษีของประชาชนทั้งสิ้น

แต่ในฐานะที่เป็นมุสลิม  นอกจากจะต้องจ่ายภาษีให้แก่รัฐแล้ว ยังต้องจ่ายภาษีศาสนาที่เรียกว่า ซะกาต อีกส่วนหนึ่งให้แก่ผู้มีสิทธิ์ได้รับ 8 ประเภทตามที่ศาสนากำหนดไว้ด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพสักการะพระเจ้า (อัลลอฮฺ)

การจ่ายซะกาตเป็นบทบัญญัติทางกฏหมายอิสลามที่กำหนดให้บุคคลและนิติบุคคลมุสลิมทีมีทรัพย์สินถึงพิกัดอัตราทที่ศาสนากำหนดไว้ (นิศอบ) ในวันครบรอบปีจันทรคติจะต้องจ่ายทรัพย์สินนี้ออกไปจำนวนหนึ่งในอัตราที่ศาสนากำหนดไว้

ในทางศาสนา  การจ่ายซะกาตเป็นวินัยบัญญัติสำคัญหนึ่งใน 5 ประการ สำหรับมุสลิมจะต้องปฏิบัติ การหลีกเลี่ยงถือเป็นบาปใหญ่และเป็นการเนรคุณต่อพระเจ้า

แต่หากมองในทางเศรษฐกิจและสังคม  ซะกาตคือภาษีที่พลเมื่องมุสลิมทุกคนต้องจ่ายกลับสู่สังคมตามกำหนดเวลา  ตามกรรมวิธีและตามอัตราที่ศาสนากำหนดไว้ ดังนั้น ซะกาตจึงไม่ใช่ การบริจาคทาน ตามความสมัครใจที่จะทำเมื่อใด อย่างไรและจำนวนมากน้อยแค่ใหนก็ได้ เหมือนกับการบริจาคทาน แต่มันเป็นภาษีอย่างหนึ่งซึ่งมีกฏเกณฑ์สำหรับการปฏิบัติ

ที่เรียกซะกาตเป็นภาษี เพราะในสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด อิสลามมิได้เป็นแค่เพียงพิธีกรรมทางศาสนาในความหมายแคบๆ อย่างที่หลายคนเข้าใจ หากแต่เป็นรัฐที่มีธรรมนูญ (คัมภีร์อัลกุรอาน) มีอธิปไตย มีอาณาเขตและมีประชาชนมุสลิมเป็นองค์ประกอบสำคัญในความหมายของคำว่ารัฐโดยสมบูรณ์ อิสลามก็จำเป็นต้องมีอำนาจรัฐหรือรัฐบาลเป็นผู้รักษากฏหมาย รัฐบาลของรัฐอิสลามในสมัยนั้นก็เหมือนกับรัฐบาลรัฐในสทุกอุดมการณ์ที่จะต้องมีรายได้มาใช้จ่ายในการป้องกันประเทศ และทำนุบำรุงบ้านเมืองในด้านต่างๆเป็นธรรมดา

แต่ ซะกาต กับ ภาษีสมัยใหม่ มีความแตกต่างที่สำคัญอยู่ประการหนึ่งนั้นก็คือซะกาตเป็นภาษีที่อิสลามกำหนดให้เป็นวินัยบัญญัติสำคัญทางศาสนา การหลบเลี่ยงไม่จ่ายซะกาต อาจรอดพ้นจากการลงโทษของเจ้าหน้าที่รัฐได้ แต่โลกหน้าคนผู้นั้นไมม่อาจหลีกเลี่ยงการลงโทษจากพระะเจ้าไปได้ ส่ววนภาษีสมัยยใหมม่นั้นถูกแยกออกจากความรู้สึกทางศาสนาโดยสิ้นเชิง ดั้งนั้นผู้คนจะหาทางหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีโดยไม่มีความรู้สึกกลัวแต่ประการใด

ความหมายของคำว่า ซะกาต

คำว่าซะกาตเป็นคำภาษาอาหรับที่มีความหมายว่า การขัดเกลาให้สะอาดบริสุทธิ การเพิ่มพูลและ การเจริญงอกงาม 

การจ่ายซะกาตเป็นการขัดเกลาจิตใจของผู้มีทรัพย์สินให้สะอาดหมดจดจากความตระหนี่ถี่เหนียวซึ่งเป็นมนทินที่เกาะกินจิตใจให้สกปรกและหยาบกระดางขณะเดี่ยวกันก็เป็่นการซักฟอกทรัพย์สินที่หามาได้ให้สะอาดบริสุทธิ์ 

นอกจากนี้แล้วเหมมือมีการจ่ายซะกาตออกไปให้คนจน คนขัดสน หรือคนมีหนี้สินมันก็เป็นการสร้างอำนาจการซื้อให้แก่คนที่ไม่มีอำนาจ การซื้อ เมื่อคนในสังคมมีอำนาจซื้อก็จะส่งผลให้ร้านค้าสามารถรักษษการจ้างงานการกระะจ่ายรายได้ไว้ได้ระดับหนึ่งและะสร้างความจำเริญดีงามให้แก่ทั้งผู้ให้ ผู้รับ และสังงคมโดยรวม

ทรัพย์สินอะไรที่จะต้องจ่ายซะกาต ?

1.    โลหะเงินและทองคำ  เงินสด เงินในบัญชี หุ้น  สินค้า (ของตนเองไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรืออัญมณี)  ที่มีไว้ขายทั้งหมดไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นนำมาฝากขายหากมีมูลค่าเท่าราคาทองคำ  หนัก  85  กรัม หรือประมาณ 5.66  บาท (ทองคำหนึ่งบาทหนัก 15  กรัม) เมื่อครบรอบปีก็จะต้องจ่ายซะกาต 2.5 % จากทรัพย์สินเหล่านี้

2.   ผลผลิตจากการเกษตร หากเป็นผลผลิตที่เกิดจากการใช้ชลประทาน ที่ต้องลงทุนอัตราซะกาต คือ 5% หากไม่ใช้การชลประทานและอาศัยน้ำฝนอย่างเดี่ยว อัตราซะกาต คือ 10%

3.  ปศุสัตว์ เช่น แพะ แกะ วัว ความ อูฐ เป็นต้น

4.  ขุมทรัพย์ที่พบได้ในแผ่นดิน

ระยะเวลาของการจ่ายซะกาต

การเริ่มต้นปีซะกาตนั้นเริ่มต้นในวันคนผู้นั้นจ่ายซะกาตเป็นครั้งแรก นั้นคือ วันที่คนผู้นั้นมีทรัพย์สินครบพิกัดอัตราที่ศาสนากำหนดไว้ หลักจากนั้น เมื่อครบปีจันทร์คติซึ่งมี 354   วัน หากยังมีทรัพย์สินอยู่อีกก็จะต้องจ่ายอีกตามกัมวิธีเดิม เพราะซะกาตนั้นคิดจากทรัพย์สินที่ออมไว้ ไม่ใช่คิดจากรายได้สะสมไว้มาเท่าใด ก็ต้องจ่ายมากขึ้นเท่านั้นนี้คือความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม ที่ทุกคนเรียกร้องมาตลอดทุกยุคทุกสมัย

ผู้มีสิทธิ์ได้รับซะกาต

            คำภีร์อัลกุรอานกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ซะกาตไม่ใช่สิทธิของเราหากเป็นสิทธิที่อัลลอฮฺ  ได้กำหนดไว้เพื่อ

1.       คนยากจน

2.       จนอนาถา

3.       คนที่ทำหน้าที่ในเรื่องจัดการซะกาต

4.       คนที่มีหัวใจโน้มมาสู่อิสลาม

5.       ทาส  และเชลย

6.       คนมีหนี้สิน

7.       ในหนทางของอัลลอฮฺ

8.       คนที่ติดขัดในระหว่างเดินทาง

อ้างอิง: อ.บรรจง  บินกาซัน. 1 ตุลาคม 2547. สารพันปัญหาว่าด้วยหลักการซะกาต. สำนักพิมพ์ อัลอามีน, กรุงเทพฯ.

ที่มา : www.muslimthai.com

One comment

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

*